10 ข้อควรรู้กับศาสตร์แห่งการนอน !!

 

มหันตภัยของการนอนดึก การอดหลับอดนอนคงเป็นเรื่องธรรมดาของเหล่ามนุษย์เงินเดือนไปเสียแล้ว! ไม่ว่าจะเกิดมาจากสาเหตุใดก็ตามเถอะ แต่จงอย่าให้มันกลายเป็นความเคยชิน เพราะผลกระทบของการนอนดึกนั้นมันร้ายแรงกว่าที่คิดจริงๆ ถ้าคุณสาวๆ ยังไม่เชื่อลองมาดูความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อร่างกายของเหล่านักนอนเช้าตัวยงกัน

 

1. การนอนสำคัญอย่างไรนะ?

คนที่นอนอย่างพอเพียงมีแนวโน้มว่าจะมีสุขภาพที่ดีและมีอายุยืนยาวกว่าคนที่มีจำนวนชั่วโมงนอนต่อวันน้อยหรือมากจนเกินไป ควรนอนตั้งแต่21.00น. เพื่อให้ฮอร์โมน Growth Hormone สามารถหลั่งออกมาได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ คนที่มีพฤติกรรมการนอนที่ไม่ดีจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดเมื่ออายุมากขึ้น เราจึงควรที่จะนอนให้ได้อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ต่อวัน เพื่อให้ร่างกายซ่อมแซมร่างกายได้อย่างเต็มที่

 

2. ท่านอนหลับที่ดีที่สุดคือท่าอะไรแน่?

นอนตะแคง ช่วยลดอาการปวดหลังได้ ถ้าตะแคงขวา จะช่วยให้อาหารที่ค้างในกระเพาะจะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี หัวใจทำงานได้สะดวกขึ้น

นอนหงาย ควรให้ต้นคออยู่แนวเดียวกับลำตัว จะได้ไม่ปวดคอเพราะนอนเงยหรือพับมากเกินไป แต่จะไม่ค่อยเหมาะกับผู้ป่วยโรคปอดและโรคหัวใจ เพราะกล้ามเนื้อกระบังลมจะกดทับหัวใจให้ทำงานลำบาก และกดทับปอดทำให้หายใจไม่สะดวก แล้วอาจจะทำให้ปวดหลังรุนแรงขึ้นด้วย

3. ควรเปลี่ยนชุดเครื่องนอนใหม่เมื่อไหร่กันนะ?

ก่อนจะเปลี่ยนี่นอนใหม่ เราควรกลับด้านหน้า ด้านหลังมาใช้ รวมถึงกลับหัวกลับหางเพื่อให้มีการกระจายน้ำหนักเท่าๆกัน แต่ถ้าที่นอนยุบลงไปเป็นแอ่ง หรือมีอาการปวดหลัง ปวดตัว ทุกครั้งที่ตื่นนอน หมอนถ้านอนไม่สบายมีอาการปวดคอก็ควรเปลี่ยนชุดเครื่องนอนได้แล้ว รวมไปถึงชุดเครื่องนอนที่ให้มาเกิน 15 ปี ก็ควรจะเปลี่ยนได้แล้วค่ะ

4. หมอนหนุนส่วนตัวจำเป็นต้องมีมั้ยนะ?

การเลือกหมอนต้องดูความเหมาะสมกับร่างกายเพราะสรีระร่างกายของแต่ละคนแตกต่างกันไป ขนาดของหมอนที่เหมาะกับแต่ละคนจึงต่างกัน แต่ละคนมีระดับที่ต่างกันเพื่อให้คออยู่ระนาบเดียวกับลำตัว

 

5. ความจำเป็นของหมอนสุขภาพมีมากน้อยแค่ไหน?

ข้อดีของหมอนเพื่อสุขภาพมีต่างกันไปตามแต่ชนิดของหมอน แต่ส่วนใหญ่จะมีคุณสมบัติเกี่ยวกับการรองรับต้นคอได้พอดีเมื่อนอนหงาย ซึ่งก็อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ชอบนอนตะแคงเพราะจะทำให้คอเอียงและมีอาการปวดคอ ส่วนหมอนที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างให้เข้ารูปศีรษะได้ทุกท่าที่มักจะผลิตจากเปลือกไม้หรือเปลือกเมล็ดพืชอาจจะอุดข้อเสียในเรื่องนี้ได้ แต่ก็จะดูแลรักษายากเพราะต้องตากแดดบ่อยๆเพื่อป้องกันความชื้นกับแมลง และมีราคาที่ค่อนข้างแพง

6. หมอนที่ดีที่สุดคือหมอนแบบไหนแน่?

เมื่ออ่านข้อ 4 และ 5 มาแล้วเราอาจจะสับสนว่าหมอนแบบไหนคือหมอนที่ดีที่สุดสำหรับเรากันแน่ ซึ่งก็เป็นคำตอบที่ง่ายมาก นั่นคือหมอนที่สามารถรองรับกับกระดูกต้นคอได้พอดี หนุนให้คอเป็นระนาบเดียวกับลำตัว คอไม่แหงนหรือพับมากเกินไป หมอนที่ไม่ดีคือหมอนที่ทำให้เรามีอาการปวดช่วงต้นคอหลังจากตื่นนอน ซึ่งถ้าปล่อยไว้นานๆจะทำให้กระดูกต้นคอ กดทับหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง เกิดเป็นลิ่มเลือดอุดตัน หากลิ่มเลือดขึ้นสมองอาจกลายเป็นอัมพฤกษ์หรืออัมพาตได้

7. เลือกผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนแบบไหนดี?

รู้หรือไม่ว่าหากใช้ผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนที่แข็งเกินไป จะทำให้เกิดรอยยับ และหากรอยยับนั้นมากดบนผิวหน้าหรือร่างกายบ่อยครั้ง ก็อาจเกิดปัญหาตามมาได้ จึงควรเลือกเนื้อผ้าที่นิ่ม ไม่หลุดเป็นขุย จับแล้วสบายมือ เนื้อผ้าที่นิยมใช้ทำเครื่องนอนคือ ผ้า Cotton หรือผ้าฝ้ายซึ่งนิ่มและลื่นแต่จะแพงกว่าผ้า Cotton

8. ควรนอนกับพื้นหรือนอนบทเตียงจะดีกว่ากัน?

การนอนพื้นก็ไม่มีผลกระทบร้ายแรง แต่การนอนกับพื้นแข็งๆเป็นเวลานานอาจทำให้เมื่อย เกิดอาการชา ระบบเลือดไหลเวียนลำบาก และทำให้เกิดแผลกดทับได้ หากอยากนอนพื้นจริงๆก็ควรปูที่นอนบุนวมนิดหน่อย เพื่อกระจายแรงกดทับบนร่างกาย

 

9. เคล็คลับการเลือกซื้อที่นอน

สิ่งสำคัญของการหาที่นอนที่ดีคือที่นอนที่นอนแล้วไม่ปวดหลัง เราควรเลือกที่นอนที่มีขนาดเหมาะกับการนอนและจำนวนคนที่นอน ที่นอนนิ่มเกินไปจะทำให้ปวดหลังได้ แต่แน่นเกินไปก็ไม่ดี ขึ้นอยู่กับโครงสร้างและสรีระของแต่ละบุคคล และเลือกที่นอนที่ยาวกว่าส่วนสูงของคนนอนอย่างน้อย 15 cm. เลือกความแน่นให้เหมาะกับรูปร่าง เลือกความแข็งของที่นอนที่ไม่ยุบหรือลื่นไหลจนเกินไป และอย่าลืมกลับด้านเตียงทุกๆ 6 เดือนเพื่อขยายอายุการใช้งาน

10. สารป้องกันไรฝุ่นเคลือบเครื่องนอนดีจริงหรือไม่?

ไรฝุ่นเป็นสัตว์ที่กินเศษผิวหนังและรังแคเป็นอาหาร สามารถพบได้มากตามที่นอนและห้องนอน สามารถเป็นต้นเหตุของอาการภูมิแพ้ ไม่ว่าจะเตียงแบบไหนก็สามารถมีไรฝุ่นเข้ามาอาศัยได้ ที่นอนที่ไม่มีรฝุ่นคือที่นอนแบบเตียงน้ำ แต่การใช้ที่นอนแบบที่มี Microban Allergy Control หรือ Scot guard หรือเครื่องนอนเคลือบสารกันไรฝุ่นอาจช่วยได้ในระดับหนึ่ง

 

และเรายังสามารถป้องกันตัวเองได้อีกทางด้วยการฆ่าไรฝุ่นจากการซักผ้าด้วยน้ำร้อน 60 องศาC ทุก 1-2 สัปดาห์ และทำความสะอาดที่นอนบ่อยๆค่ะ